การเชื่อมกระทู้ธรรมชั้นตรี
การเชื่อมกระทู้ธรรมชั้นโท
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
พุทธศาสนสุภาษิต 3
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
เมื่อดับทุกข์ได้ทั้งหมด ก็ไม่มีความสุขใดที่จะเกินไปกว่า นิพพาน แปลว่า ความดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล บรรดากิเลสทั้งหลายซึ่งมีโลภะโทสะโมหะเป็นรากเหง้าเมื่อผู้ใดละได้ไม่เหลืออยู่ในจิตใจเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม หรือเหมือนหยดน้ำหล่นจากใบบอน กิเลสที่ละได้แล้วเหล่านั้น ย่อมไม่หวนกลับมาทำให้จิตใจของผู้นั้นหวั่นไหวได้อีกชีวิตของบุคคลนั้นย่อมประสบความความสุขที่แท้จริงการที่ไม่ปรุงไม่แต่ง เมื่อได้รับอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาย่อมสามารถแก้ปัญหาโดยทั่วๆ ไปได้ ดังคำกลอนที่ว่าเพียงผัสสะกระทบก็จบเถิด อย่าหยิบเชิดปรุงแปลงแต่งขยายจักสุขเย็นเป็นนิตย์ทั้งจิตกาย ไม่วุ่นวายสุขสงบเพราะจบจริง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
เมื่อดับทุกข์ได้ทั้งหมด ก็ไม่มีความสุขใดที่จะเกินไปกว่า นิพพาน แปลว่า ความดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล บรรดากิเลสทั้งหลายซึ่งมีโลภะโทสะโมหะเป็นรากเหง้าเมื่อผู้ใดละได้ไม่เหลืออยู่ในจิตใจเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม หรือเหมือนหยดน้ำหล่นจากใบบอน กิเลสที่ละได้แล้วเหล่านั้น ย่อมไม่หวนกลับมาทำให้จิตใจของผู้นั้นหวั่นไหวได้อีกชีวิตของบุคคลนั้นย่อมประสบความความสุขที่แท้จริงการที่ไม่ปรุงไม่แต่ง เมื่อได้รับอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาย่อมสามารถแก้ปัญหาโดยทั่วๆ ไปได้ ดังคำกลอนที่ว่าเพียงผัสสะกระทบก็จบเถิด อย่าหยิบเชิดปรุงแปลงแต่งขยายจักสุขเย็นเป็นนิตย์ทั้งจิตกาย ไม่วุ่นวายสุขสงบเพราะจบจริง
พุทธศาสนสุภาษิต 2
นตฺถิ สนฺติปรํ
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
กายสงบก็มีความสุข ใจสงบยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก คำว่า สงบ หมายถึงความไม่กำเริบ กลับเป็นปกติ เช่นเคยกลัดกลุ้มด้วยอำนาจโทสะ คิดแต่จะแก้แค้นศัตรูให้ได้ แต่หลายรู้แน่ชัดว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรจึงหาทางปรองดองเลิกเขม่นเข่นฆ่ากันทุกอย่างสงบลงด้วยดี เช่นนี้ จิตใจก็สบาย พบหน้ากันครั้งไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทำร้าย ทั้งสองฝ่ายมีความสุขประเทศชาติอยู่อย่างสงบ ปราศจากการก่อความวุ่นวายจากศัตรูภายในและภายนอกก็เป็นสุข คนเคยมีความเดือดร้อน เนื่องจากปัญหาการเงินเมื่อหมดหนี้สินและมีเงินจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ก็มีความสุขความสุขเกิดจากใจที่สงบ ปราศจากกิเลสรบกวน เป็นความสุขที่พึงทำให้เกิดมีให้ได้
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
กายสงบก็มีความสุข ใจสงบยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก คำว่า สงบ หมายถึงความไม่กำเริบ กลับเป็นปกติ เช่นเคยกลัดกลุ้มด้วยอำนาจโทสะ คิดแต่จะแก้แค้นศัตรูให้ได้ แต่หลายรู้แน่ชัดว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรจึงหาทางปรองดองเลิกเขม่นเข่นฆ่ากันทุกอย่างสงบลงด้วยดี เช่นนี้ จิตใจก็สบาย พบหน้ากันครั้งไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทำร้าย ทั้งสองฝ่ายมีความสุขประเทศชาติอยู่อย่างสงบ ปราศจากการก่อความวุ่นวายจากศัตรูภายในและภายนอกก็เป็นสุข คนเคยมีความเดือดร้อน เนื่องจากปัญหาการเงินเมื่อหมดหนี้สินและมีเงินจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ก็มีความสุขความสุขเกิดจากใจที่สงบ ปราศจากกิเลสรบกวน เป็นความสุขที่พึงทำให้เกิดมีให้ได้
พุทธศาสนสุภาษิต 1
สติ โลกสฺมิ ชาคโร
สติเป็นเครื่องตื่นในโลก
สิ่งที่จะช่วยขจัดความยุ่งเหยิงในชีวิตได้อย่างดี ก็คือสติ คำว่า สติ แปลตรงตัวว่า ความระลึกได้ เป็นกุศลธรรมที่ช่วยปลุกช่วยเตือนให้คนรู้ตัวอยู่เสมอ เวลาที่ชีวิตประสบความยุ่งเหยิงระเริงไปในเรื่องโลกิยวิสัยมัวเมาในอบายมุข หรือเวลาอารมณ์หงุดหงิด มองโลกในแง่ร้าย บางครั้งก็เซื่องซึมท้อแท้เบื่อหน่าย บางครั้งก็อารมณ์ฟุ้งซ่านมองเห็นอะไรก็เคืองตาไปเสียหมด บางครั้งก็เกิดลังเลสงสัยต่างๆ นานา ความยุ่งเหยิงเหล่านี้ ถ้าใช้สติเหนี่ยวรั้งจิตใจไว้ให้ถอยห่าง ชีวิตก็จะไม่วุ่นวาย ไม่สับสน แต่ถ้าขาดสติเมื่อใด โอกาสที่ดำเนินชีวิตผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอเพราะขาดสติเพียงข้อเดียว เพียงเสี้ยววินาที บุคคลทำความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้มิใช่น้อย
สติเป็นเครื่องตื่นในโลก
สิ่งที่จะช่วยขจัดความยุ่งเหยิงในชีวิตได้อย่างดี ก็คือสติ คำว่า สติ แปลตรงตัวว่า ความระลึกได้ เป็นกุศลธรรมที่ช่วยปลุกช่วยเตือนให้คนรู้ตัวอยู่เสมอ เวลาที่ชีวิตประสบความยุ่งเหยิงระเริงไปในเรื่องโลกิยวิสัยมัวเมาในอบายมุข หรือเวลาอารมณ์หงุดหงิด มองโลกในแง่ร้าย บางครั้งก็เซื่องซึมท้อแท้เบื่อหน่าย บางครั้งก็อารมณ์ฟุ้งซ่านมองเห็นอะไรก็เคืองตาไปเสียหมด บางครั้งก็เกิดลังเลสงสัยต่างๆ นานา ความยุ่งเหยิงเหล่านี้ ถ้าใช้สติเหนี่ยวรั้งจิตใจไว้ให้ถอยห่าง ชีวิตก็จะไม่วุ่นวาย ไม่สับสน แต่ถ้าขาดสติเมื่อใด โอกาสที่ดำเนินชีวิตผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอเพราะขาดสติเพียงข้อเดียว เพียงเสี้ยววินาที บุคคลทำความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้มิใช่น้อย
หลวงพ่อชา สุภทฺโท
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่างของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ประวัติ
ชาติภูมิ
- พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้สนจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อ นายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 10 คน การศึกษา – พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถมปีที่ 1 แล้วได้ลาออกจากโรงเรียนเพราะมีจิตใจใฝ่ทางบวชเรียน
บรรพชา
– ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2474 โดยมีพระครูวิจิตรธรรมภาณี (พะวง) อดีตเจ้าอาวาสวัดมณีวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังเมื่อบวชเรียนแล้ว ได้เรียนหนังสือธรรม เรียนบาลีไวยากรณ์ เรียนมูลกัจจายน์ ต่อมาได้ลาสิกขามาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพเกษตรกรรม
อุปสมบท
– ต่อมาเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ท่านได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2482 ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิรุฬสุตการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสอน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้นามฉายาว่า สุภทฺโท
เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม จนจบนักธรรมชั้นเอก หลังเสร็จภารกิจทางการศึกษาแล้วประกอบกับท่านเกิดธรรมสังเวชคราวโยมบิดาเสียชีวิต จึงหันมาสู่การปฏิบัติธรรม โดยออกธุองค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติ ได้ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2497 ท่านได้ดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ชื่อว่า “วัดหนองป่าพง” และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสมาโดยตลอด มีผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมมากมาย รวมทั้งได้รับนิมนต์ไปเผยแพร่ธรรมในต่างประเทศด้วย สมณศักดิ์
– พระโพธิญาณเถร ชา สุภทฺโท) ได้ดำรงตำแหน่งทางการคณสงฆ์และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ดังนี้
วันที่ 29 เมษายน 2516 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง
วันที่ 5 ธันวาคม 2516 ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชาคณะ ที่ “พระโพธิญาณเถร”
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2527 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
วันที่ 6 มิถุนายน 2521 ได้รับพัดพัฒนาเชิดชูเกียรติ จากกรมการศาสนา เป็นต้น
มรณภาพ
– พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2535 เวลา 05.30 น. อย่างสงบ ท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศ
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ออกธุองค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ในสำนักต่างๆ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่กินรี พออินทรีย์แก่กล้าแล้ว ก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ และหลังจากที่ท่านได้สร้างวัดหนองป่าพงแล้ว ท่านก็ได้ให้ความรู้และการประพฤติปฏิบัติธรรมต่อพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมทั้งได้รับอาราธนาไปเผยแพร่ธรรมในต่างประเทศ ทั้งยุโรป และอเมริกา จนในปัจจุบันได้ขยายสาขาของวัดหนองป่าพงไปทั้งในกว่าสองร้อยสาขา และขยายไปยังต่างประเทศอีกกว่าสิบสาขา มีพระภิกษุชาวต่างชาติที่สนใจบวชอยู่ในสังกัดวัดหนองป่าพงประมาณเกือบสองร้อยรูป อยู่ตามสาขาวัดหนองป่าพงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งพระภิกษุเหล่านี้ ต่างก็เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปอีกด้วยคุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ท่านได้เป็นแบบอย่างของพระวิปัสสนา จนมีผู้นำแบบอย่างของท่านมาเป็นแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านจึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระวิปัสสนาที่สำคัญ ๆ หลายท่าน นอกจากนั้นท่านยังเป็นแบบอย่างของบุคคลผู้ถือความมักน้อย สันโดษ เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจที่ควรทำตนให้เป็นคนพอดีในการดำรงชีวิต
2. ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา จนเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศที่เข้ามาบวช และศึกษาพระพุทธศาสนา จึงเป็นกำลังสำคัญท่านหนึ่งในการประกาศพระพุทธศาสนาให้แผ่ขยายกว้างไกลต่อไป
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ประวัติ
ชาติภูมิ
- พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้สนจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อ นายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 10 คน การศึกษา – พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถมปีที่ 1 แล้วได้ลาออกจากโรงเรียนเพราะมีจิตใจใฝ่ทางบวชเรียน
บรรพชา
– ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2474 โดยมีพระครูวิจิตรธรรมภาณี (พะวง) อดีตเจ้าอาวาสวัดมณีวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังเมื่อบวชเรียนแล้ว ได้เรียนหนังสือธรรม เรียนบาลีไวยากรณ์ เรียนมูลกัจจายน์ ต่อมาได้ลาสิกขามาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพเกษตรกรรม
อุปสมบท
– ต่อมาเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ท่านได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2482 ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิรุฬสุตการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสอน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้นามฉายาว่า สุภทฺโท
เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม จนจบนักธรรมชั้นเอก หลังเสร็จภารกิจทางการศึกษาแล้วประกอบกับท่านเกิดธรรมสังเวชคราวโยมบิดาเสียชีวิต จึงหันมาสู่การปฏิบัติธรรม โดยออกธุองค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติ ได้ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2497 ท่านได้ดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ชื่อว่า “วัดหนองป่าพง” และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสมาโดยตลอด มีผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมมากมาย รวมทั้งได้รับนิมนต์ไปเผยแพร่ธรรมในต่างประเทศด้วย สมณศักดิ์
– พระโพธิญาณเถร ชา สุภทฺโท) ได้ดำรงตำแหน่งทางการคณสงฆ์และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ดังนี้
วันที่ 29 เมษายน 2516 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง
วันที่ 5 ธันวาคม 2516 ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชาคณะ ที่ “พระโพธิญาณเถร”
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2527 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
วันที่ 6 มิถุนายน 2521 ได้รับพัดพัฒนาเชิดชูเกียรติ จากกรมการศาสนา เป็นต้น
มรณภาพ
– พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2535 เวลา 05.30 น. อย่างสงบ ท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศ
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ออกธุองค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ในสำนักต่างๆ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่กินรี พออินทรีย์แก่กล้าแล้ว ก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ และหลังจากที่ท่านได้สร้างวัดหนองป่าพงแล้ว ท่านก็ได้ให้ความรู้และการประพฤติปฏิบัติธรรมต่อพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมทั้งได้รับอาราธนาไปเผยแพร่ธรรมในต่างประเทศ ทั้งยุโรป และอเมริกา จนในปัจจุบันได้ขยายสาขาของวัดหนองป่าพงไปทั้งในกว่าสองร้อยสาขา และขยายไปยังต่างประเทศอีกกว่าสิบสาขา มีพระภิกษุชาวต่างชาติที่สนใจบวชอยู่ในสังกัดวัดหนองป่าพงประมาณเกือบสองร้อยรูป อยู่ตามสาขาวัดหนองป่าพงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งพระภิกษุเหล่านี้ ต่างก็เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปอีกด้วยคุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ท่านได้เป็นแบบอย่างของพระวิปัสสนา จนมีผู้นำแบบอย่างของท่านมาเป็นแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านจึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระวิปัสสนาที่สำคัญ ๆ หลายท่าน นอกจากนั้นท่านยังเป็นแบบอย่างของบุคคลผู้ถือความมักน้อย สันโดษ เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจที่ควรทำตนให้เป็นคนพอดีในการดำรงชีวิต
2. ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา จนเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศที่เข้ามาบวช และศึกษาพระพุทธศาสนา จึงเป็นกำลังสำคัญท่านหนึ่งในการประกาศพระพุทธศาสนาให้แผ่ขยายกว้างไกลต่อไป
คุณธรรมฯ รัชกาลที่ 5
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่างของ รัชกาลที่ 5
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และเป็นองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู เถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2411 สวรรคต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ขณะมีพระชนมายุได้ 57 พรรษา รวมเวลาครองราชย์ 42 ปี
พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัติย์ที่ทรงตั้งอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย เป็นที่พึ่งตลอดระยะเวลายาวนานถึง 42 ปี ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาเป็นเอนกนานัปการ เช่น โปรดให้ยกเลิกประเพณีหมอบคลานและกราบ โดยให้ใช้ยืนและคำนับแทน โปรดให้เลิกทาส ตั้งโรงเรียนหลวงสอนทั้งภาษาไทยและอังกฤษ โปรดให้มีการสอบชิงทุนหลวงไปศึกษาในต่างประเทศ ทรงปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม และแบ่งหน้าที่ราชการให้เป็นสัดส่วน ไม่ก้าวก่ายกัน ในส่วนภูมิภาคนั้น โปรดให้รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็นมณฑล ส่วนในจังหวัดหนึ่งๆ ก็ให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลรับผิดชอบ อาณาเขตจังหวัดก็แบ่งเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน โปรดให้จัดการในเรื่องการสุขาภิบาล การบำรุงท้องที่ การไปรษณีย์ การโทรเลข การไฟฟ้า การรถไฟ โปรดให้ตั้งกระทรวงสำคัญๆ ต่างๆ และกิจการในด้านศาลยุติธรรม โปรดให้จัดการตำรวจภูธร ใช้กฎหมายการเกณฑ์ทหารเมื่อชาติต้องการหรือมีเหตุการณ์แกเฉินและเกิดสงคราม และการสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์ เป็นต้น
การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้ทันต่อสภาวะความเจริญของบ้านเมืองได้ก้าวไปไกลอย่างมาก ทรงได้มีการปรับปรุงพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา ดังนี้
1. การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทย-การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทยนี้ นานถึง 6 ปี เริ่มแต่ปี พ.ศ. 2431 ถึง พ.ศ. 2436 โดยทรงปรารภเหตุหลายประการ กล่าวคือ
(1) เป็นการดำเนินการตามขัตติยะประเพณีที่ปฏิบัติกันต่อๆ มาของพระมหากษัตริย์ในปางก่อนที่ทรงสร้างในการสังคายนาพระธรรมวินัย
(2) ด้วยทรงปรารภพึงพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เมื่อจัดพิมพ์แล้ว จะช่วยส่งเสริมให้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแพร่หลาย เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
(3) การพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย จะช่วยให้สะดวกแก่การค้นคว้าและการพิมพ์เป็นเล่มสมุดก็สะดวกต่อการเก็บและรักษา แม้ไม่ทนเหมือนจารึกลงบนใบลาน แต่ก็สามารถจัดพิมพ์ใหม่อีกได้ง่ายการชำระและการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้ เสร็จทันงานฉลองรัชดาภิเษก (การครองราชย์ครอบ 25 ปี) ของพระองค์ ทรงพระราชทานแด่พระอารามหลวงและวัดราษฎร์ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองโดยทั่วกัน นับเป็นการพิมพ์คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ฉบับภาษาไทย ครั้งแรกในประเทศไทย
2. การสร้างวัดขึ้นใหม่หลายวัด คือ วัดราชบพิธ วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางค์นิมิต วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ และทรงปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ โดยพระราชทรัพย์ส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ วัดมหาธาตุจึงมีสร้อยนามในเวลาต่อมาว่า “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์”
3. การส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์การศึกษา เพราะทรงห่วงใยเรื่องคุณธรรมในปี พ.ศ. 2414 ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ จะให้มีอาจารย์สอนหนังสือไทยและสอนเลขทุกๆ พระอาราม จัดทำที่วัดมหรรณพารามเป็นแห่งแรก มีประกาศจัดการศึกษาในหัวเมือง เผดียงให้พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเอาใจใส่สอนธรรมแก่ประชาชน และฝึกสอนวิชาความรู้ต่างๆ แก่กุลบุตร ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยเรื่องคุณธรรคือความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ที่ได้รับการศึกษาไปแล้วเป็นอย่างมาก เพราะผู้ได้รับการศึกษาดีก็มิใช่จะมีหลักประกันได้ว่าจะเป็นคนดีทุกคนไป หากขาดเรื่องการศึกษา เรื่องการศาสนา
4. การศึกษาของพระสงฆ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมขึ้นตามวัดต่างๆ เพื่อเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ได้ทรงกำหนดให้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรมเป็นประจำทุกปี ทรงส่งเสริมการศึกษาของพระสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงสองแห่งจนกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ในปัจจุบัน คือ
(1) มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
(2) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432 ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
5 ทรงตราพระราชบัญญัติเพื่อเป็นแนวในการบริหารคณะสงฆ์ ปี ร.ศ. 121 นับเป็นกฎหมายของพระสงฆ์ไทยฉบับแรกการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นอกจากจะทำให้เกิดผลดีแก่ประเทศชาติในด้านต่างๆ แล้ว ยังก่อให้เกิดผลดีในส่วนของพระองค์ด้วย ทำให้ฐานะการเมืองของพระองค์มั่นคงขึ้น เพราะประชาชนต่างให้ความจงรักภักดีในฐานะที่ทรงปฏิบัติพระองค์ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรมคือ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร สังคหวัตถุ และทรงเป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภ์อย่างแท้จริง จึงทำให้การปกครองในสมัยของพระองค์ประสบความสำเร็จ และยังสามารถรักษาความเป็นเอกราชของประเทศจากภัยคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตกไว้ได้ ทั้งนี้นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ประชาชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระนรมเป็นการเฉลิมพระเกียรติแก่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช”
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นศาสนูปถัมภก คือเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โดยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เช่น การจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทยเป็นครั้งแรก การสร้างวัดที่สำคัญ ๆ การให้วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษา และการส่งเสริมการศึกษาพระสงฆ์ โดยการสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และทรงตราพระราชบัญญัติเพื่อเป็นแนวบริหารคณะสงฆ์
2. ทรงดำรงตนอยู่ในพุทธธรรม โดยนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น หลักทศพิธราชธรรม จักรวรรคิวัตร สังคหวัตถุ เป็นต้น เป็นแนวทางในการปกครองอาณาประชาราชจนได้รับขนานพระนามว่า “พระปิยมหาราช”
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และเป็นองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู เถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2411 สวรรคต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ขณะมีพระชนมายุได้ 57 พรรษา รวมเวลาครองราชย์ 42 ปี
พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัติย์ที่ทรงตั้งอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย เป็นที่พึ่งตลอดระยะเวลายาวนานถึง 42 ปี ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาเป็นเอนกนานัปการ เช่น โปรดให้ยกเลิกประเพณีหมอบคลานและกราบ โดยให้ใช้ยืนและคำนับแทน โปรดให้เลิกทาส ตั้งโรงเรียนหลวงสอนทั้งภาษาไทยและอังกฤษ โปรดให้มีการสอบชิงทุนหลวงไปศึกษาในต่างประเทศ ทรงปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม และแบ่งหน้าที่ราชการให้เป็นสัดส่วน ไม่ก้าวก่ายกัน ในส่วนภูมิภาคนั้น โปรดให้รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็นมณฑล ส่วนในจังหวัดหนึ่งๆ ก็ให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลรับผิดชอบ อาณาเขตจังหวัดก็แบ่งเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน โปรดให้จัดการในเรื่องการสุขาภิบาล การบำรุงท้องที่ การไปรษณีย์ การโทรเลข การไฟฟ้า การรถไฟ โปรดให้ตั้งกระทรวงสำคัญๆ ต่างๆ และกิจการในด้านศาลยุติธรรม โปรดให้จัดการตำรวจภูธร ใช้กฎหมายการเกณฑ์ทหารเมื่อชาติต้องการหรือมีเหตุการณ์แกเฉินและเกิดสงคราม และการสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์ เป็นต้น
การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้ทันต่อสภาวะความเจริญของบ้านเมืองได้ก้าวไปไกลอย่างมาก ทรงได้มีการปรับปรุงพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา ดังนี้
1. การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทย-การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทยนี้ นานถึง 6 ปี เริ่มแต่ปี พ.ศ. 2431 ถึง พ.ศ. 2436 โดยทรงปรารภเหตุหลายประการ กล่าวคือ
(1) เป็นการดำเนินการตามขัตติยะประเพณีที่ปฏิบัติกันต่อๆ มาของพระมหากษัตริย์ในปางก่อนที่ทรงสร้างในการสังคายนาพระธรรมวินัย
(2) ด้วยทรงปรารภพึงพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เมื่อจัดพิมพ์แล้ว จะช่วยส่งเสริมให้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแพร่หลาย เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
(3) การพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย จะช่วยให้สะดวกแก่การค้นคว้าและการพิมพ์เป็นเล่มสมุดก็สะดวกต่อการเก็บและรักษา แม้ไม่ทนเหมือนจารึกลงบนใบลาน แต่ก็สามารถจัดพิมพ์ใหม่อีกได้ง่ายการชำระและการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้ เสร็จทันงานฉลองรัชดาภิเษก (การครองราชย์ครอบ 25 ปี) ของพระองค์ ทรงพระราชทานแด่พระอารามหลวงและวัดราษฎร์ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองโดยทั่วกัน นับเป็นการพิมพ์คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ฉบับภาษาไทย ครั้งแรกในประเทศไทย
2. การสร้างวัดขึ้นใหม่หลายวัด คือ วัดราชบพิธ วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางค์นิมิต วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ และทรงปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ โดยพระราชทรัพย์ส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ วัดมหาธาตุจึงมีสร้อยนามในเวลาต่อมาว่า “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์”
3. การส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์การศึกษา เพราะทรงห่วงใยเรื่องคุณธรรมในปี พ.ศ. 2414 ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ จะให้มีอาจารย์สอนหนังสือไทยและสอนเลขทุกๆ พระอาราม จัดทำที่วัดมหรรณพารามเป็นแห่งแรก มีประกาศจัดการศึกษาในหัวเมือง เผดียงให้พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเอาใจใส่สอนธรรมแก่ประชาชน และฝึกสอนวิชาความรู้ต่างๆ แก่กุลบุตร ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยเรื่องคุณธรรคือความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ที่ได้รับการศึกษาไปแล้วเป็นอย่างมาก เพราะผู้ได้รับการศึกษาดีก็มิใช่จะมีหลักประกันได้ว่าจะเป็นคนดีทุกคนไป หากขาดเรื่องการศึกษา เรื่องการศาสนา
4. การศึกษาของพระสงฆ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมขึ้นตามวัดต่างๆ เพื่อเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ได้ทรงกำหนดให้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรมเป็นประจำทุกปี ทรงส่งเสริมการศึกษาของพระสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงสองแห่งจนกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ในปัจจุบัน คือ
(1) มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
(2) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432 ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
5 ทรงตราพระราชบัญญัติเพื่อเป็นแนวในการบริหารคณะสงฆ์ ปี ร.ศ. 121 นับเป็นกฎหมายของพระสงฆ์ไทยฉบับแรกการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นอกจากจะทำให้เกิดผลดีแก่ประเทศชาติในด้านต่างๆ แล้ว ยังก่อให้เกิดผลดีในส่วนของพระองค์ด้วย ทำให้ฐานะการเมืองของพระองค์มั่นคงขึ้น เพราะประชาชนต่างให้ความจงรักภักดีในฐานะที่ทรงปฏิบัติพระองค์ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรมคือ ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร สังคหวัตถุ และทรงเป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภ์อย่างแท้จริง จึงทำให้การปกครองในสมัยของพระองค์ประสบความสำเร็จ และยังสามารถรักษาความเป็นเอกราชของประเทศจากภัยคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตกไว้ได้ ทั้งนี้นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ประชาชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระนรมเป็นการเฉลิมพระเกียรติแก่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช”
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นศาสนูปถัมภก คือเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โดยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เช่น การจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทยเป็นครั้งแรก การสร้างวัดที่สำคัญ ๆ การให้วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษา และการส่งเสริมการศึกษาพระสงฆ์ โดยการสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และทรงตราพระราชบัญญัติเพื่อเป็นแนวบริหารคณะสงฆ์
2. ทรงดำรงตนอยู่ในพุทธธรรม โดยนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น หลักทศพิธราชธรรม จักรวรรคิวัตร สังคหวัตถุ เป็นต้น เป็นแนวทางในการปกครองอาณาประชาราชจนได้รับขนานพระนามว่า “พระปิยมหาราช”
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)